ศิลปินแมชอัพระส่ำ! กฎหมายลิขสิทธิ์ไทยอัปเดต คุมเข้มวงการ


กรมทรัพย์สินทางปัญญา (กรมทรัพย์ฯ) ประกาศแนวปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับอัปเดตเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 ซึ่งมีผลต่อการผลิตและเผยแพร่ผลงานแบบ Mashup ในประเทศไทย โดยกำหนดหลักเกณฑ์ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการนำชิ้นงานเพลงและเสียงของผู้อื่นมาใช้ รวมทั้งกระบวนการขออนุญาตและการรับผิดชอบของผู้เผยแพร่บนแพลตฟอร์มออนไลน์

ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่: กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ (นำโดยนางสาวปรียา จิตรสมบูรณ์ ผู้อำนวยการกรมฯ — สมมติชื่อ) ออกแนวปฏิบัติใหม่ที่กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2568 เพื่อกำกับการใช้ผลงานลิขสิทธิ์สำหรับการทำ Mashup และการใช้ตัวอย่างเพลง (sampling) ทั้งในสื่อสตรีมมิงและการโพสต์บนโซเชียลมีเดีย

เนื้อหาสำคัญของแนวปฏิบัติฉบับอัปเดตประกอบด้วย:

  • การตีความผลงานดัดแปลง (derivative works) และ Mashup ว่าเป็นงานที่อยู่ภายใต้การคุ้มครอง หากใช้ชิ้นส่วนที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของงานเดิมโดยไม่ได้รับอนุญาต;
  • แนวทางการขออนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ รวมถึงแบบฟอร์มคำขอและรายการข้อมูลที่ต้องระบุเมื่อขอใช้ตัวอย่างเพลง เช่น ระยะเวลา ลักษณะการนำเสนอ สัดส่วนของตัวอย่างที่ใช้ และช่องทางเผยแพร่;
  • การบังคับใช้กับแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยแจ้งให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต้องมีระบบรับแจ้งการละเมิดและมาตรการถอดเนื้อหา (notice-and-takedown) ที่มีประสิทธิภาพภายในระยะเวลาที่กำหนด;
  • การเพิ่มบทลงโทษทั้งทางแพ่งและทางอาญาสำหรับการละเมิดที่มีลักษณะหนักหน่วง พร้อมระยะเวลาปรับเปลี่ยนเพื่อให้ผู้สร้างผลงานและแพลตฟอร์มปรับตัว (ระยะเปลี่ยนผ่าน 60 วันหลังประกาศ);
  • ข้อยกเว้นและการพิจารณากรณี Fair Use/Fair Dealing โดยให้แนวทางการประเมินในเชิงปฏิบัติ แต่ย้ำว่าแนวคิด Fair Use ของสหรัฐฯ ไม่ใช่กฎหมายบังคับใช้ในไทยโดยตรง แต่สามารถใช้เป็นหลักการอ้างอิงได้ในเชิงพิจารณา

นางสาวปรียา (สมมติ) กล่าวในแถลงการณ์ว่า แนวปฏิบัติดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อสร้างสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิของผู้สร้างผลงานต้นฉบับและการส่งเสริมความสร้างสรรค์ของผู้ใช้ผลงานใหม่ โดยจะเน้นการให้ข้อมูลและช่องทางขออนุญาตที่ชัดเจนแก่ครีเอเตอร์และแพลตฟอร์ม

ฝ่ายผู้สร้างผลงานในวงการ Mashup ให้ความเห็นผสมผสาน ทั้งความกังวลและการยอมรับ: DJ Mixmai (ชื่อสมมติ) ซึ่งมีผลงานเผยแพร่บนแพลตฟอร์มสตรีมมิง กล่าวว่า แนวปฏิบัตินี้อาจทำให้ต้นทุนการทำผลงานเพิ่มขึ้นและกระทบต่อครีเอทีฟอินดัสทรีขนาดเล็ก ขณะที่นักแต่งเพลงบางรายเห็นว่าเป็นการคุ้มครองสิทธิที่เหมาะสมและจะช่วยให้ผู้สร้างเดิมได้รับค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรม

ในเชิงกฎหมาย แนวทางฉบับใหม่นี้อ้างอิงหลักการพิจารณา Fair Use ที่นักกฎหมายลิขสิทธิ์ระดับนานาชาติอย่าง Professor Lawrence Lessig (Harvard Law School) เคยวิเคราะห์ไว้ โดยสรุปแนวทางการพิจารณาที่ผู้ปฏิบัติงานควรพิจารณามีดังนี้ (แนวทางตามแนวคิดของ Lawrence Lessig เป็นการอ้างอิงเชิงทฤษฎี ไม่ใช่กฎบังคับ):

  • วัตถุประสงค์และลักษณะการใช้: การใช้เชิงการศึกษา การวิจารณ์ หรือการสร้างสรรค์เชิงเปลี่ยนรูป (transformative) มีแนวโน้มได้รับการพิจารณาเข้าข่าย Fair Use มากกว่าการใช้เพื่อการค้าโดยตรง;
  • ลักษณะของผลงานต้นฉบับ: ผลงานที่เป็นเชิงข่าวหรือข้อเท็จจริงมักได้รับการยืดหยุ่นมากกว่างานที่เป็นงานสร้างสรรค์บริสุทธิ์;
  • สัดส่วนและความสำคัญของส่วนที่ถูกนำมาใช้: การใช้เฉพาะส่วนเล็กๆ ที่ไม่ใช่ส่วนสำคัญของงานต้นฉบับมีโอกาสสูงกว่าจะเข้าข่าย Fair Use;
  • ผลกระทบต่อมูลค่าตลาดของงานต้นฉบับ: หากการนำไปใช้ทำให้เจ้าของเดิมเสียรายได้หรือแทนที่ตลาดเดิม โอกาสจะถูกพิจารณาว่าไม่เป็น Fair Use สูงขึ้น;

บทสรุปเกี่ยวกับคำถามที่หลายคนถามว่า “Mashup ผิดลิขสิทธิ์ไหม”: คำตอบสั้น ๆ ในบริบทของประเทศไทยคือ ขึ้นกับกรณี — การใช้ Mashup อาจเข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์หากใช้เนื้อหา/ท่อนเพลงที่คุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่ได้ผ่านการพิจารณาว่าเป็นการใช้ที่ได้รับยกเว้นหรือยุติธรรมตามหลักการที่ยอมรับได้ แนวปฏิบัติฉบับใหม่นี้ทำให้เกณฑ์การพิจารณาชัดเจนขึ้นแต่ก็ยกระดับข้อกำหนดด้านการขออนุญาต

คำแนะนำปฏิบัติสำหรับครีเอเตอร์ Mashup:

  • ตรวจสอบสิทธิ์ของเพลงและชิ้นส่วนเสียงที่ต้องการใช้ ก่อนเผยแพร่;
  • ขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากเจ้าของลิขสิทธิ์หรือผ่านตัวแทนสิทธิ (rights clearance);
  • เลือกใช้ตัวอย่างจากคลังเสียงที่มีอนุญาต (licensed samples) หรือผลงานที่อยู่ในสาธารณสมบัติ (public domain);
  • หากอ้างเหตุผล Fair Use ให้จัดเก็บบันทึกการวิเคราะห์ประกอบการตัดสินใจ (เช่น ระบุความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ชิ้นงานเป็นงาน transform และประเมินผลกระทบทางการตลาด);
  • ปรึกษาทนายความด้านลิขสิทธิ์เมื่อต้องการความแน่ชัดทางกฎหมาย

ทั้งนี้ แหล่งข่าวจากวงการกฎหมายและดนตรีเตือนว่า การใช้แนวทาง Fair Use ของสหรัฐฯ เป็นเพียงจุดอ้างอิงเชิงทฤษฎี ผู้ปฏิบัติงานในประเทศไทยยังต้องอ้างอิงข้อกฎหมายไทยและแนวปฏิบัติฉบับล่าสุดของกรมทรัพย์ฯ เป็นหลัก ผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือมีข้อสงสัยสามารถติดตามรายละเอียดแนวปฏิบัติฉบับเต็มจากเว็บไซต์ของกรมทรัพย์สินทางปัญญาและพิจารณาขอคำปรึกษาทางกฎหมายเพิ่มเติม